มีเพื่อนๆ หลายคนโทรมาขอไอเดียการทำบุญแปลกๆ จากฉัน อยู่เสมอ เผอิญ เรื่องสุดยอดของทำบุญแปลกๆ ไม่ค่อยจะมีใครเกินฉันเท่าไหร่... นอกจากการไปทำบุญสังฆทานที่วัด และเลี้ยงอาหารเด็กกำพร้า ที่เป็นไอเดียสุดเบสิก เหมือนกินข้าวผัดกระเพรายังไงหยั่งงั้น วันนี้ฉันจึงขอนำเสนอ 10 ไอเดียทำบุญแบบได้บุญเลย.. ทันที ไม่ต้องรอ มีดังนี้
1. แพมเพอร์สเด็กสำเร็จรูป ส่งที่หน้าห้อง NICU หรือ แพมเพอร์สผู้ใหญ่ ทุก size ทกขนาด และยี่ห้อ ขอให้เป็น"อย่างดี" ห่อเล็กๆ ก็ได้ ส่งหน้าห้อง ICU ของโรงพยาบาลรัฐ ทุกแห่งหน คุณจะได้บุญเลย ส่งให้พยาบาลไป บอกเขาว่าบริจาคให้ผู้ป่วยคนใดก็ได้ ไม่ต้องยืนรอใบอนุโมธนาบัตร ใบเสร็จรับเงิน หรือใบลดหย่อนภาษี เมื่อพยาบาลรับของชิ้นนี้จากคุณแล้ว รับรอง ไม่เกิน 1 ชม. พยาบาลจะฉีกห่อแพมเพอร์สของคุณออกเปลี่ยนให้ผู้ป่วยเลย คุณจะได้บุญทันที จริงๆ
2. จีวรพระ size XL หรือ XXL อย่างดี ราคาประมาณ 1,200 บาท ขอเพียงชุดเดียว ถังสังฆทานไม่ต้อง!
3. สังฆทานยา จัดเอง เอายาอย่างดี อย่างที่คุณทาน ถือซะว่าเมื่อคุณเสียชีวิต คุณจะต้องทายาชุดนันเอง
4. สังฆทานจัดเอง... เอาสิ่งของจำเป็นยี่ห้อที่คุณใช้ จัดเหมือนจะใช้เสียเอง เอาใส่ลงในถัง " ให้เอาผงซักฟอก กับน้ำยาล้างจานไว้ข้างนอกถัง" พระท่านถึงจะสามารถฉัน และใช้ของในถังได้!
5. ช้อนกาแฟ - อย่างดี เอาแบบที่ต้มได้ ขนาดใหญ่กว่าช้อนที่คุณใช้ชงกาแฟนิดนึง บริจาคตามสถานรับเลี้ยงเด็ก และโรงพยาบาลรัฐ แผนกเด็ก ได้บุญมากจริงๆ
6. ชุดผู้ป่วยสีขาว - ให้สังเกตุตามโรงพยาบาลรัฐ (บางแห่ง) ชุดผู้ป่วย/ ผ้าอ้อมเด็ก ทำมาจาก ผ้าดิบ เนื้อหนา น้องๆ กางเกงยีนส์ จริงๆ เมื่อพบรพ. ที่มีชุดผู้ป่วยทำจากวัสดุดังกล่าว ขอให้ระดมเพื่อนฝูง พ่อแม่พี่น้อง ช่วยกันทำการตัดเย็บชุดผู้ป่วยส่งให้รพ. ด้วยการจัดเตรียมของท่านเอง ถามรพ.เลย ว่าจะให้ทำไง ถึงจะถูกระเบียบ จะปัก logo ยังไง, พิมพ์ชื่อรพ. ตรงไหน? ให้ท่านทำให้เขาเลย อย่าบริจาคเป็นเงิน มันไม่ถึง! และผู้ป่วยก็จะยังได้ใส่ชุดผ้าดิบอยู่อย่างนั้น ขอแนะนำ สถาบัน... แถวอนุสาวรีย์ ให้ไปบริจาคที่นั่น
7. ไม้ปาดน้ำบนพื้นขนาดใหญ่ (มีขอบยางเหมือนที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ) + ผ้าขนหนูเช็ดตัวเก่าๆ บางๆ บริจาคให้วัด หรือสถานปฏิบัติธรรมแล้วแต่ศาสนา หรือใครมีงบประมาณสูง จะใช้ผ้าขนหนูผืนใหม่ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเน้นว่าให้บาง อย่าหนามาก หลายคนงงว่าเขาเอาไปทำอะไร? ตามวัด (ไม่ว่าศาสนาอะไรก็ตาม) จะมีโบส์ถค่อนข้างใหญ่ ส่วนใหญ่จะต้องถูพื้น ขอบอกว่าในทางปฏิบัติ ไม้ถูพื้นบ้านๆ แบบที่เราใช้จะถูไม่ได้ เพราะมันกว้างมาก ไม้ปาดน้ำ+ ผ้าขนหนู จะดีกว่ามาก ดังนั้นหาใครรวยจริงๆ อยากมีผิวพรรณสวย บ้านสะอาดในชาติหน้า จะบริจาคเป็นรถถูพื้นเลยก็ได้
8. ข้าวกล่องให้ขอทาน - ขาประจำ เห็นกันทุกวัน วันนี้วันเกิด อยากทำบุญ ง่ายๆ ก่อนไปออฟฟิส เดินผ่านแม่งทุกวัน หมั่นไส้ ไม่เคยอยากให้ตังค์ แวะซื้อข้าวสักกล่อง บอกขอทานผู้นั้นว่า วันนี้วันเกิด ซื้อข้าวมาฝาก... ไม่ได้สนับสนุนให้ประกอบอาชีพนี้นะ แต่จะทำบุญ!
9. อ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง - ไอเดียสุดเก๋ แต่ทำยาก เพราะมีแต่ที่สมาคมคนตาบอด ไม่ต้องใช้ตังค์ สำหรับผู้มีงบฯ น้อย แต่มีเวลาเหลือมาก มุ่งตรงเข้าไป พร้อมกระดาษ reuse ที่ใช้แล้วทั้งสองด้าน ขอที่ออฟฟิสไปเลย.. ชาติหน้าท่านจะมีปัญญามาก
10. อาหารถวายพระในบ้าน สององค์ เลี้ยงเรามาตั้งแต่เกิด ถวายไป อย่ารอเคาะฝาโลง อาจเคอะเขินบ้างนิดหน่อยสำหรับมือใหม่ แต่ทำหัดทุกวัน ก่อนเหลียวหาที่บริจาคโน่นนี่ให้คนอื่น พระในบ้านกินข้าวยัง? ถามตัวเองซิ!
10.1 แถมท้ายสำหรับผู้ที่อยู่คนเดียวจริงๆ ทำบุญมุขนี้ใช้รักษาโรคภัยต่างๆ ได้ โดยเฉพาะโรคผิวหนัง เจ็บไข้ออดๆ แอดๆ หรือผู้ที่มีความใฝ่ฝันอยากมีผิวพรรณดีในชาตินี้และชาติหน้า! คือ ขัดส้วมวัด หรือสถานที่สาธารณะ... อ้า! ทำยากใช่ไม๊? ก็ถึงให้ไปทำนี่ไง? เริ่มมือใหม่ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรีก็ได้ วัดนี้มีส้วมเป็นร้อยห้อง เพียงคุณถืออุปกรณ์ไปล้างสัก 10 ห้อง สาบานได้เลย ว่าจะไม่มีใครสนใจคุณแน่ๆ เพราะห้องน้ำมีเป็นร้อย มือใหม่ ไปหัดล้างได้ที่นี่เลย แล้วคุณจะกล้าล้างส้วมทั่วไทย! 555
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เรามาเตรียมตัวเฝ้าผู้ป่วยกัน!
เรื่องนี้คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครอยากเตรียมตัว.. แต่เมื่อได้ทราบข่าวแล้วว่าญาติ หรือคนรักของท่านจะได้ออกจากห้อง ICU และต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกเป็นเวลานาน อาจเป็นหลักเดือน หรือ บางรายก็หลักปี.. เรามักไม่คาดคิดว่าสิ่งที่เราจะต้องไปเผชิญระหว่างเฝ้าไข้ผู้ป่วยนั้น มันมีอะไรบ้าง? ไม่เคยมีหนังสือ หรือตำราเล่มไหนบอก จนกว่าเราจะไปเจอสถานการณ์นั้นด้วยตนเอง แม้แต่หมอหรือพยาบาลเองก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่ในมุมเดียวกันกับเรา...
1. สิ่งแรกที่จำเป็นต้องจัดใส่กระเป๋า ก็คงจะเป็นเสื้อผ้า ขอให้นึกเสียว่าเราจะต้องไปอยู่ในที่พักแบบโฮมสเตย์ คือ เหมือนจะมี แต่ไม่มี! เช่น สบู่ แชมพู ยาสระผมที่ใช่ หวี ถุงเท้า ผ้าห่มผืนเล็ก ยาทากันยุงหากพกไปได้ควรจัดหาไปในกระเป๋าเลย เพราะ ไปเที่ยว คุณยังมีเวลาก้าวเท้าออกไป shopping แต่เมื่อไปเฝ้าไข้แล้ว คุณจะไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย...
2. ช้อน, แก้วน้ำ, และ กล่องมีฝาปิด 3 ใบ - อันนี้จำเป็นมากโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ เพราะเข้าจะไม่ปล่อยถาดอาหารไว้บนโต๊ะคนไข้เกิน 1 ชม. ไม่ว่าคนไข้จะหิว หรือไม่ก็ตาม เขาจะเก็บถาดนั้นไปอย่างไม่ไยดี ไม่ว่าคนไข้จะหลับอยู่ก็ตาม คุณสามารถเก็บข้าว และกับ เผื่อเพื่อนเตียงข้างๆ ที่หลับไหล ให้เขาได้มีอาหารรับประทานยามหิวได้อีกด้วย
3. Pampers สำหรับคนไข้ - โดยเฉพาะที่ไม่รู้สึกตัว หรือเด็กเล็ก คุณไม่สามารถอดทนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาได้ตลอดทั้งคืนหรอก
4. หนังสือ - แล้วแต่จะชอบ ยิ่งหนา ยิ่งดี... อ่านมันเข้าไป คนไข้อยากนอน ไม่อยากคุยกับคุณหรอก ยิ่งกลัวผี คุณจะต้องยิ่งหาอะไรทำ /mp3 player / นิตยสาร รวมทั้งเบอร์ร้านอาหาร delivery ทั้งหลาย
5. ปลั๊กสามตา (เอาไว้ชาร์จโทรศัพท์ และอัฐบริขารของคุณ) อย่าเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าไปมากเกินจำเป็น โทรศัพท์ของคุณ มันต้องการไฟ... คุณต้องเอาปลั๊กต่อไปด้วย อย่าไปรบกวนช่องเสียบไฟของหมอเขามาก!
6. เก้าอี้พับ ปรับนอนได้ - สำหรับรพ. รัฐ ที่เราต้องเฝ้าไข้เกิน 1 สัปดาห์ ราคาเก้าอี้ประมาณ 800.- สำหรับการนอนที่ดีกว่า ลืมตามาเห็นรองเท้าสีขาวของหมอ และพยาบาล และคุณจะลุกนั่งได้ดีกว่าการเฝ้าไข้กับพื้นจริงๆ
7. สมุดบันทึก พร้อมปากกา ขอให้นำไปจดทุกอย่างเกี่ยวกับคนไข้ ไม่ว่าจะจำนวนยา, ชื่อยา, ปริมาณปัสสาวะ, ความดันโลหิต, ปริมาณน้ำตาล ถ้าคุณรักคนไข้จริง คุณควรจดไว้เป็นหลักฐาน และหมั่นเดินไปถามหมอ-พยาบาลเกี่ยวกับแนวทางรักษาคนไข้อยู่เสมอ
8. ไม้หนีบผ้า/ ไม้แขวนเสื้อ/ น้ำยาซักผ้า/ กะละมังใบเล็กๆ ในกรณีที่คุณต้องอยู่เฝ้าไข้แบบไม่มีใครมาเหลียวแล มันจำป็นมากๆ
9. มีดเล็ก, กระดาษชำระ และถุงใบเล็กๆ เอาไว้ใส่ขยะที่คุณผลิตขึ้นมา
10. ยา สำหรับตัวคุณเอง คุณไม่ควรคิดไปเองว่าโรงพยาบาลจะมียาทุกอย่างที่คุณอยากได้
10. ของเล่น (สำหรับผู้ป่วยเด็ก) ชิ้นไม่ใหญ่มากและไม่มีเสียงดัง
ทั้งนี้ทุกสิ่งที่คุณเตรียมไป จะต้องสามารถจัดเก็บได้ในลิ้นชักหัวนอนผู้ป่วย มันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก คุณจะต้องบริหารพื้นที่ในตู้นั้นให้ดีๆ
สิ่งสำคัญคือ คุณคือกำลังสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของคุณ!
1. สิ่งแรกที่จำเป็นต้องจัดใส่กระเป๋า ก็คงจะเป็นเสื้อผ้า ขอให้นึกเสียว่าเราจะต้องไปอยู่ในที่พักแบบโฮมสเตย์ คือ เหมือนจะมี แต่ไม่มี! เช่น สบู่ แชมพู ยาสระผมที่ใช่ หวี ถุงเท้า ผ้าห่มผืนเล็ก ยาทากันยุงหากพกไปได้ควรจัดหาไปในกระเป๋าเลย เพราะ ไปเที่ยว คุณยังมีเวลาก้าวเท้าออกไป shopping แต่เมื่อไปเฝ้าไข้แล้ว คุณจะไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย...
2. ช้อน, แก้วน้ำ, และ กล่องมีฝาปิด 3 ใบ - อันนี้จำเป็นมากโดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ เพราะเข้าจะไม่ปล่อยถาดอาหารไว้บนโต๊ะคนไข้เกิน 1 ชม. ไม่ว่าคนไข้จะหิว หรือไม่ก็ตาม เขาจะเก็บถาดนั้นไปอย่างไม่ไยดี ไม่ว่าคนไข้จะหลับอยู่ก็ตาม คุณสามารถเก็บข้าว และกับ เผื่อเพื่อนเตียงข้างๆ ที่หลับไหล ให้เขาได้มีอาหารรับประทานยามหิวได้อีกด้วย
3. Pampers สำหรับคนไข้ - โดยเฉพาะที่ไม่รู้สึกตัว หรือเด็กเล็ก คุณไม่สามารถอดทนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาได้ตลอดทั้งคืนหรอก
4. หนังสือ - แล้วแต่จะชอบ ยิ่งหนา ยิ่งดี... อ่านมันเข้าไป คนไข้อยากนอน ไม่อยากคุยกับคุณหรอก ยิ่งกลัวผี คุณจะต้องยิ่งหาอะไรทำ /mp3 player / นิตยสาร รวมทั้งเบอร์ร้านอาหาร delivery ทั้งหลาย
5. ปลั๊กสามตา (เอาไว้ชาร์จโทรศัพท์ และอัฐบริขารของคุณ) อย่าเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าไปมากเกินจำเป็น โทรศัพท์ของคุณ มันต้องการไฟ... คุณต้องเอาปลั๊กต่อไปด้วย อย่าไปรบกวนช่องเสียบไฟของหมอเขามาก!
6. เก้าอี้พับ ปรับนอนได้ - สำหรับรพ. รัฐ ที่เราต้องเฝ้าไข้เกิน 1 สัปดาห์ ราคาเก้าอี้ประมาณ 800.- สำหรับการนอนที่ดีกว่า ลืมตามาเห็นรองเท้าสีขาวของหมอ และพยาบาล และคุณจะลุกนั่งได้ดีกว่าการเฝ้าไข้กับพื้นจริงๆ
7. สมุดบันทึก พร้อมปากกา ขอให้นำไปจดทุกอย่างเกี่ยวกับคนไข้ ไม่ว่าจะจำนวนยา, ชื่อยา, ปริมาณปัสสาวะ, ความดันโลหิต, ปริมาณน้ำตาล ถ้าคุณรักคนไข้จริง คุณควรจดไว้เป็นหลักฐาน และหมั่นเดินไปถามหมอ-พยาบาลเกี่ยวกับแนวทางรักษาคนไข้อยู่เสมอ
8. ไม้หนีบผ้า/ ไม้แขวนเสื้อ/ น้ำยาซักผ้า/ กะละมังใบเล็กๆ ในกรณีที่คุณต้องอยู่เฝ้าไข้แบบไม่มีใครมาเหลียวแล มันจำป็นมากๆ
9. มีดเล็ก, กระดาษชำระ และถุงใบเล็กๆ เอาไว้ใส่ขยะที่คุณผลิตขึ้นมา
10. ยา สำหรับตัวคุณเอง คุณไม่ควรคิดไปเองว่าโรงพยาบาลจะมียาทุกอย่างที่คุณอยากได้
10. ของเล่น (สำหรับผู้ป่วยเด็ก) ชิ้นไม่ใหญ่มากและไม่มีเสียงดัง
ทั้งนี้ทุกสิ่งที่คุณเตรียมไป จะต้องสามารถจัดเก็บได้ในลิ้นชักหัวนอนผู้ป่วย มันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก คุณจะต้องบริหารพื้นที่ในตู้นั้นให้ดีๆ
สิ่งสำคัญคือ คุณคือกำลังสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของคุณ!
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ว่าด้วยเรื่องของการแพ้ยา
วันนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือ "ยา"
คนทั่วไป หากป่วย ไปหาหมอแล้ว ได้รับยากลับมาบ้าน มักจะทำตามคำสั่งหมอโดยเคร่งครัด ไม่ว่าหมอจะจัดยามาให้กี่ชนิดก็ตาม ก็จะรีบกินยกนั้นจนกว่าจะหายเป็นปรกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักได้ผล
แต่ สิ่งที่คาดไม่ถึงมักเกิดขึ้นอยู่เสมอ... นั่นคืออาการแพ้ยา เมื่อตัวเราเองได้รับประทานยาชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วรู้สึกไม่ดี กระสับกระส่าย เรามักจะหยุดยานั้น และแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ให้ทราบโดยทันที
แต่ เด็กเล็กล่ะ! เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาแพ้ยาชนิดไหน? เขาไม่สามารถบอก หรือสื่อสารกับเราได้ว่าเขาเริ่มแพ้ยาตัวนั้นแล้วนะ!
สิ่งแรกที่จะบอกเลย คือเขาจะปฏิเสธอย่างถึงที่สุด แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กเล็ก ไม่ชอบกินยา แต่ขอให้เราสังเกตุว่า เด็กนั้นจะมีการปฏิเสธยาชนิดนั้นมากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเด็กที่กินยาง่าย จะเห็นชัดเลย ว่าจะไม่ยอมกินยานั้น สัญชาตญาณมนุษย์ จะไม่ยอมให้ใครกรอกยาพิษเข้าปาก หรือฉีดยาพิษเข้าร่างกายง่ายๆ
มันอันตรายมากหากอาการแพ้ยานั้นรุนแรง! เด็กอาจเสียชีวิตได้
ลูกของฉัน เป็นกรณีศึกษากรณีหนึ่ง ที่จะเล่าให้ท่านอ่าน เผื่อเป็นอุทธาหรณ์สอนใจผู้เป็นพ่อแม่ ที่คิดว่าความคิดของแพทย์นั้นถูกต้องอยู่เสมอ... มันเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตุอาการเด็กได้ หากไม่ใช่ลูกของเรา..
วันหนึ่งที่ลูกของฉันมีอาการปอดอักเสบ.. เขาเพิ่งออกจาก ICU มาเพียง 2 วัน มีนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจอาการของน้อง โดยเขาอ้างว่าแพทย์ใหญ่ประจำตัวของน้องป่วยเป็นภูมิแพ้ ไม่สามารถมาตรวจน้องได้ 1 สัปดาห์.. ฉันไม่ได้ว่าอะไร ถามความคืบหน้าของการรักษาและ รายละเอียดชื่อยาต่างๆ ที่หมอจะจ่ายให้ ฉันมีสมุดโน้ตเล็กๆ 1 เล่ม เอาไว้จดชื่อยาต่างๆ ที่น้องใช้ เพื่อกันลืม และ เผื่อไว้หากทำยาหล่นหาย
นศ.แพทย์กลุ่มนั้น แจ้งชื่อยาฉีดตัวหนึ่ง เป็นกลุ่มยาฆ่าเชื้อ- Cefotaxime สำหรับอาการ Infective Endorcarditis (ฉันค้นคว้าเพิ่มเติมในเว็บยา) โดยเข้ามาฉีดครั้งแรก น้องนอนให้ฉีดดี แต่หลังจากหมอกลับออกไป เขามีอาการตัวสั่นเทิ้ม เหมือนคนจะโดนผีเข้า แล้วก็เริ่มชัก... ฉันเรียกหมอให้เข้ามาดูอาการ นศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามาแจ้งว่าอาการเก่าของน้องน่าจะกำเริบ... ฉันใจคอไม่ดี น้องกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้ง...
หลังจากออกมาจากห้อง ICU หนที่สอง นศ.แพทย์กลุ่มเดิม นำยาฉีดตัวนี้มาให้อีก.. น่าแปลก ที่เด็กเล็ก อายุเพียงสองขวบ สามารถรู้และเข้าใจได้ว่ายาชนิดนี้ทำให้เขาไม่สบาย... และแปลกตรงที่ เขานอนให้ฉีดยาอื่นๆ แต่พอหมอพูดชื่อยาตัวนี้ เขาสะบัดแขนหนีทันที ดิ้นสุดตัว ทั้งๆ ที่ยาตัวนี้เพิ่งฉีดให้หนที่สองเท่านั้น ฉันแปลกใจมากที่ลูกดิ้นหนีอย่างไม่คิดชีวิต... หมอ 3 คนช่วยกันล็อคตัวเขายึดกับเตียง และ ฉีดยาสำเร็จ ยาหกไปหน่อยนึงเนื่องจากเขาสะบัดข้อมือตอนหมอจะฉีด... แต่หมอไม่ว่าอะไร และไม่ได้มาฉีดเพิ่ม...
คืนนั้น.. น้องนอนตัวสั่น กัดฟันแน่น เหมือนจะเริ่มชัก น้ำตาไหล... ผิวหนังของเขาเริ่มมีผื่นแดงเป็นปื้นๆ ทั่วทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่นิดเดียว ฉันตกใจมาก เพราะเขามีไข้สูง ประมาณ 38 องศา ฉันรีบเช็ดตัวให้ลูก และคิดได้ว่าต้องเป็นยาตัวนี้แน่นอน จึงขอร้องให้ส่งน้องไปแผนกโรคผิวหนังแต่เช้า... หมอดู และฉันเริ่มให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาฉีดนี้ หมอผิวหนังว่าเป็นไปได้ และสั่งงดฉีดยาตัวนี้...
หลังจากกลับจากหมอผิวหนัง นศ.แพทย์กลุ่มเดิมเข้ามา... แจ้งเปลี่ยนยาฉีดเป็นยากิน Cefdinir ซึ่งเป็นยาในตระกูลเดียวกัน... (ฉันค้นคว้าเรื่องยาต่างๆ อยู่เสมอจากเว็บยา) ลูกได้รับยาพิษนี้เหมือนเดิม จากฉีด เป็นกินแทน ในวันแรกฉันคัดค้านไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นหมอ ฉันเรียนจบการตลาดจะไปรู้ดีกว่าเขาได้อย่างไร? ฉันยอมให้ลูกกินยานั้น เผื่อว่าข้อสันนิษฐานโง่ๆ ของฉันอาจไม่เป็นจริง อาการของเขาเริ่มทรุดลง... ฉันเริ่มเห็นปฏิกริยาของลูก เริ่มปฏิเสธยาชนิดกินนี้ เข้าดิ้น และคายยาออกมาทันทีที่พยาบาลเข้ามาล็อคตัวเขาเพื่อกินยาดังกล่าว ฉันเริ่มรู้แล้วว่ายานี้ทำให้ลูกป่วยหนักมากขึ้น...
จากวันนั้นฉันตัดสินใจเทยาหลายหลอดทิ้ง เนื่องจากมันไม่จำเป็นมากสำหรับเขา.... เขาเป็นไข้สูงมาก ลำตัวมีผื่นขึ้นแดงจัด จากการรับประทานยาดังกล่าว และเริ่มซึม ไม่กระดุกกระดิก เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับฉัน!
ฉันลองเอายาทั้งหมดที่หมอให้มา (แค่ 1 มื้อ) ยามีทั้งหมด 7 หลอดฉีดยา หลากสี เป็นยาน้ำ ฉันตัดสินใจบีบมันลงแก้วกาแฟ เพื่อดูปริมาณว่ามาก-น้อยเท่าใด
ไม่น่าเชื่อ! หลายคนอาจไม่เคยคิด ว่าเวลายาอยู่ในหลอดเล็กๆ ประมาณ 7-8 หลอดดูไม่น่าจะมากเท่าไหร่? แต่เด็กตัวเล็กๆ เพียงแค่ 2 ขวบนั้น จะกินยาขนาด 1 แก้วกาแฟโตๆ อย่างไรได้หมด!!!
ฉันเริ่มปลงกับนศ.แพทย์ กลุ่มนี้ ฉันพยายามอธิบายด้วยเหตุผล ให้หมอลดจำนวนยาลงหน่อย..
ไม่ว่าเด็กจะมีอาการอะไร หมอจะสั่งยามาให้หมด ทุกอาการโดยไม่เลือกว่าอาการไหนที่ควรรักษาก่อน และ รู้หรือไม่ว่ายาตัวไหน จะตีกันกับตัวไหนบ้าง?
ฉันคิดได้ดังนั้นจึงเทยาทั้งหมดทิ้ง เหลือไว้แต่ยาแก้ไข้เพียงอย่างเดียว...
ลูกน้อยอาการดีขึ้น... หายวันหายคืน ฉันให้เขาดื่มน้ำจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อขับพิษยา เช็ดตัวลดไข้ให้เขา และ ใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านที่รู้จัก ทาตามตัว และให้เขาดื่ม... เขาดีขึ้น เริ่มนั่งได้ เพื่อนๆเตียงข้างๆ อีก 5 เตียงเริ่มเห็นด้วยกับวิธีการของฉัน เป็นต้นทางให้ฉันเอายาสมุนไพรให้ลูกดื่ม และ เอายาทาตัวเขา... เนื่องจากสมุนไพร เป็นใบไม้มีสีเขียว .. ตัวของลูกเริ่มเป็นสีเขียว พยาบาลและ หมอเริ่มสงสัย....
วันหนึ่งเหมือนเป็นโชคร้ายที่สุด ขณะที่ฉันทายาใบไม้ให้ลูกอยู่นั้น พยาบาลเข้ามาเห็นพอดี ต่อว่าต่อขานฉันยกใหญ่ พร้อมเรียกนศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามา ฟ้องเอาความดีความชอบ ฉันตกใจมาก... ยาหลอดที่บีบทิ้งไว้เตรียมจะไปเทลงชักโครก วางเป็นหลักฐานว่าฉันไม่เคยให้ลูกกินยาที่หมอสั่งเลย พยาบาลพูดจาดูหมิ่น และเหมือนจะไล่ให้ฉันกลับไปรักษาเองที่บ้าน..
ฉันไม่พูดอะไรเพราะจำนนต่อหลักฐาน นึกว่าพวกเขาต่อว่าเสร็จแล้วจะไป... แต่โชคร้ายของลูกน้อย...
นศ.แพทย์กลุ่มนั้นกลับเข้ามา... พร้อม "ยา 7 หลอด"
แพทย์ และพยาบาลไล่ฉันออกไปจากห้อง รุมและล็อคน้องไว้กับเตียง ฉันเริ่มหมดความอดทน ฉันไม่มีวันยอมให้ลูกของฉันเป็นอะไรไปแน่! ฉันตะโกนเข้าไปในห้องว่า "ขอให้จำเอาไว้ ... หากลูกฉันเป็นอะไรไปในคืนนี้ ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด! ฉันจะไม่ยกโทษ และไม่ให้อภัยพวกเธอ ตลอดชีวิต!" เมื่อพูดจบ... ฉันไม่รอช้า ยกหูโทรศัพท์แจ้งไปที่ห้องฉุกเฉินทันที (พวกพยาบาลทั้งหมดเข้าไปรุมจับลูกฉันอยู่ด้านใน) ฉันขอเครื่องช่วยหายใจ และยาต่างๆ (ฉันรู้จักเครื่องมือแพทย์ และยาที่ใช้ช่วยชีวิตลูกทุกชนิด) Ward ฉุกเฉินเข้าใจว่าฉันเป็นหมอจริง เพราะพูดชื่อยาและอุปกรณ์ได้ถูกต้อง
ทันทีที่พวกหมอในห้องกรอกยาลูกฉันได้สำเร็จ ฉันตะโกนขอร้องให้พวกเขาอยู่ดูผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเสียก่อน ฉันยอมเสี่ยงเอาชีวิตลูกเป็นเดิมพัน มันคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว....
ไม่นานนัก ลูกของฉันเริ่มชัก ชักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ชีพจรเขาตกทันที สัญญาณเตือนจากเครื่องต่างๆ เริ่มดัง... ทำให้ทุกคนในห้องนั้นตกใจกลัว ฉันเริ่มร้องไห้ มันมากมายเกินกว่าที่ฉันคิดไว้!
หมอ และพยาบาล เริ่มหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ฉันยืนจ้องพวกเขาอย่างอาฆาต และสั่งไม่ให้ใครออกไปจากห้อง
พอดีจังหวะที่อุปกรณ์ช่วยชีวิตมาถึง พร้อมหมอใหญ่ท่านหนึ่ง "เกิดอะไรขึ้น?" หมอถามอย่างงงๆ
"ใครเป็นคนโทรตาม?"
ฉันตะโกนเข้าไปในห้อง "พวกเธอต้องรับผิดชอบชีวิตลูกของฉัน ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด!"
หมอทั้งหมด เริ่มกระบวนการช่วยชีวิตเขา... ลูกน้อยของฉันสะบักสะบอมไปด้วยยาพิษหลอดนั้น
เขารอดชีวิตมาอีกครั้งด้วยยาใบไม้ ที่ทางบ้านส่งมาให้ ใบไม้ถูกเด็ดมาจนโกร๋นหมดต้นเลย... ฉันร้องไห้ทุกวัน เช็ดตัวลดไข้ให้ลูกไม่ได้หลับได้นอน พยาบาลกลุ่มนั้นเริ่มสำนึก... ไม่ต่อว่าฉันอีกต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าลูกฉันเริ่มดีขึ้นจริง ต่างผลัดกันเข้ามาดูแลปรนนิบัติลูกฉันอย่างดีที่สุด เพราะกลัวฉันฟ้องร้อง
ส่วนนศ.แพทย์กลุ่มนั้น หลังจากฉันแจ้งเรื่องไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เจอหน้าพวกเขาอีก...
เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ เรื่องการแพ้ยาในเด็กเล็ก...
มีโอกาสน้อยมากที่เด็กจะรอดชีวิต หากได้รับยาที่เขาแพ้ในปริมาณที่มาก
ฉันเชื่อว่าในประเทศเรา คงมีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิต จากการแพ้ยา และผู้ปกครองที่ไม่ทันได้เอะใจ ว่าแพทย์ที่เราไว้วางใจให้รักษาลูกเราให้หายป่วยนั้น กลับเป็นฆาตกรฆ่าลูกเราเสียเอง!
จงอย่าดื้อกับหมอ เพียงเพราะความเชื่อโง่ๆ บางอย่างของตัวเอง
แต่ขอให้หาข้อมูล และขอคำปรึกษาจากแพทย์หลายๆ ท่าน เพื่อความเข้าใจในโรคต่างๆ อย่างถูกต้อง
และขอให้พ่อแม่ทุกท่าน จงเอาใจใส่ ถึงกระทั่งชื่อยาที่หมอสั่งให้ลูกเรากิน อย่าให้เขา เอายาพิษให้ลูกเรากินอีกเลย...
คนทั่วไป หากป่วย ไปหาหมอแล้ว ได้รับยากลับมาบ้าน มักจะทำตามคำสั่งหมอโดยเคร่งครัด ไม่ว่าหมอจะจัดยามาให้กี่ชนิดก็ตาม ก็จะรีบกินยกนั้นจนกว่าจะหายเป็นปรกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักได้ผล
แต่ สิ่งที่คาดไม่ถึงมักเกิดขึ้นอยู่เสมอ... นั่นคืออาการแพ้ยา เมื่อตัวเราเองได้รับประทานยาชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วรู้สึกไม่ดี กระสับกระส่าย เรามักจะหยุดยานั้น และแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ให้ทราบโดยทันที
แต่ เด็กเล็กล่ะ! เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาแพ้ยาชนิดไหน? เขาไม่สามารถบอก หรือสื่อสารกับเราได้ว่าเขาเริ่มแพ้ยาตัวนั้นแล้วนะ!
สิ่งแรกที่จะบอกเลย คือเขาจะปฏิเสธอย่างถึงที่สุด แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กเล็ก ไม่ชอบกินยา แต่ขอให้เราสังเกตุว่า เด็กนั้นจะมีการปฏิเสธยาชนิดนั้นมากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเด็กที่กินยาง่าย จะเห็นชัดเลย ว่าจะไม่ยอมกินยานั้น สัญชาตญาณมนุษย์ จะไม่ยอมให้ใครกรอกยาพิษเข้าปาก หรือฉีดยาพิษเข้าร่างกายง่ายๆ
มันอันตรายมากหากอาการแพ้ยานั้นรุนแรง! เด็กอาจเสียชีวิตได้
ลูกของฉัน เป็นกรณีศึกษากรณีหนึ่ง ที่จะเล่าให้ท่านอ่าน เผื่อเป็นอุทธาหรณ์สอนใจผู้เป็นพ่อแม่ ที่คิดว่าความคิดของแพทย์นั้นถูกต้องอยู่เสมอ... มันเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตุอาการเด็กได้ หากไม่ใช่ลูกของเรา..
วันหนึ่งที่ลูกของฉันมีอาการปอดอักเสบ.. เขาเพิ่งออกจาก ICU มาเพียง 2 วัน มีนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจอาการของน้อง โดยเขาอ้างว่าแพทย์ใหญ่ประจำตัวของน้องป่วยเป็นภูมิแพ้ ไม่สามารถมาตรวจน้องได้ 1 สัปดาห์.. ฉันไม่ได้ว่าอะไร ถามความคืบหน้าของการรักษาและ รายละเอียดชื่อยาต่างๆ ที่หมอจะจ่ายให้ ฉันมีสมุดโน้ตเล็กๆ 1 เล่ม เอาไว้จดชื่อยาต่างๆ ที่น้องใช้ เพื่อกันลืม และ เผื่อไว้หากทำยาหล่นหาย
นศ.แพทย์กลุ่มนั้น แจ้งชื่อยาฉีดตัวหนึ่ง เป็นกลุ่มยาฆ่าเชื้อ- Cefotaxime สำหรับอาการ Infective Endorcarditis (ฉันค้นคว้าเพิ่มเติมในเว็บยา) โดยเข้ามาฉีดครั้งแรก น้องนอนให้ฉีดดี แต่หลังจากหมอกลับออกไป เขามีอาการตัวสั่นเทิ้ม เหมือนคนจะโดนผีเข้า แล้วก็เริ่มชัก... ฉันเรียกหมอให้เข้ามาดูอาการ นศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามาแจ้งว่าอาการเก่าของน้องน่าจะกำเริบ... ฉันใจคอไม่ดี น้องกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้ง...
หลังจากออกมาจากห้อง ICU หนที่สอง นศ.แพทย์กลุ่มเดิม นำยาฉีดตัวนี้มาให้อีก.. น่าแปลก ที่เด็กเล็ก อายุเพียงสองขวบ สามารถรู้และเข้าใจได้ว่ายาชนิดนี้ทำให้เขาไม่สบาย... และแปลกตรงที่ เขานอนให้ฉีดยาอื่นๆ แต่พอหมอพูดชื่อยาตัวนี้ เขาสะบัดแขนหนีทันที ดิ้นสุดตัว ทั้งๆ ที่ยาตัวนี้เพิ่งฉีดให้หนที่สองเท่านั้น ฉันแปลกใจมากที่ลูกดิ้นหนีอย่างไม่คิดชีวิต... หมอ 3 คนช่วยกันล็อคตัวเขายึดกับเตียง และ ฉีดยาสำเร็จ ยาหกไปหน่อยนึงเนื่องจากเขาสะบัดข้อมือตอนหมอจะฉีด... แต่หมอไม่ว่าอะไร และไม่ได้มาฉีดเพิ่ม...
คืนนั้น.. น้องนอนตัวสั่น กัดฟันแน่น เหมือนจะเริ่มชัก น้ำตาไหล... ผิวหนังของเขาเริ่มมีผื่นแดงเป็นปื้นๆ ทั่วทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่นิดเดียว ฉันตกใจมาก เพราะเขามีไข้สูง ประมาณ 38 องศา ฉันรีบเช็ดตัวให้ลูก และคิดได้ว่าต้องเป็นยาตัวนี้แน่นอน จึงขอร้องให้ส่งน้องไปแผนกโรคผิวหนังแต่เช้า... หมอดู และฉันเริ่มให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาฉีดนี้ หมอผิวหนังว่าเป็นไปได้ และสั่งงดฉีดยาตัวนี้...
หลังจากกลับจากหมอผิวหนัง นศ.แพทย์กลุ่มเดิมเข้ามา... แจ้งเปลี่ยนยาฉีดเป็นยากิน Cefdinir ซึ่งเป็นยาในตระกูลเดียวกัน... (ฉันค้นคว้าเรื่องยาต่างๆ อยู่เสมอจากเว็บยา) ลูกได้รับยาพิษนี้เหมือนเดิม จากฉีด เป็นกินแทน ในวันแรกฉันคัดค้านไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นหมอ ฉันเรียนจบการตลาดจะไปรู้ดีกว่าเขาได้อย่างไร? ฉันยอมให้ลูกกินยานั้น เผื่อว่าข้อสันนิษฐานโง่ๆ ของฉันอาจไม่เป็นจริง อาการของเขาเริ่มทรุดลง... ฉันเริ่มเห็นปฏิกริยาของลูก เริ่มปฏิเสธยาชนิดกินนี้ เข้าดิ้น และคายยาออกมาทันทีที่พยาบาลเข้ามาล็อคตัวเขาเพื่อกินยาดังกล่าว ฉันเริ่มรู้แล้วว่ายานี้ทำให้ลูกป่วยหนักมากขึ้น...
จากวันนั้นฉันตัดสินใจเทยาหลายหลอดทิ้ง เนื่องจากมันไม่จำเป็นมากสำหรับเขา.... เขาเป็นไข้สูงมาก ลำตัวมีผื่นขึ้นแดงจัด จากการรับประทานยาดังกล่าว และเริ่มซึม ไม่กระดุกกระดิก เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับฉัน!
ฉันลองเอายาทั้งหมดที่หมอให้มา (แค่ 1 มื้อ) ยามีทั้งหมด 7 หลอดฉีดยา หลากสี เป็นยาน้ำ ฉันตัดสินใจบีบมันลงแก้วกาแฟ เพื่อดูปริมาณว่ามาก-น้อยเท่าใด
ไม่น่าเชื่อ! หลายคนอาจไม่เคยคิด ว่าเวลายาอยู่ในหลอดเล็กๆ ประมาณ 7-8 หลอดดูไม่น่าจะมากเท่าไหร่? แต่เด็กตัวเล็กๆ เพียงแค่ 2 ขวบนั้น จะกินยาขนาด 1 แก้วกาแฟโตๆ อย่างไรได้หมด!!!
ฉันเริ่มปลงกับนศ.แพทย์ กลุ่มนี้ ฉันพยายามอธิบายด้วยเหตุผล ให้หมอลดจำนวนยาลงหน่อย..
ไม่ว่าเด็กจะมีอาการอะไร หมอจะสั่งยามาให้หมด ทุกอาการโดยไม่เลือกว่าอาการไหนที่ควรรักษาก่อน และ รู้หรือไม่ว่ายาตัวไหน จะตีกันกับตัวไหนบ้าง?
ฉันคิดได้ดังนั้นจึงเทยาทั้งหมดทิ้ง เหลือไว้แต่ยาแก้ไข้เพียงอย่างเดียว...
ลูกน้อยอาการดีขึ้น... หายวันหายคืน ฉันให้เขาดื่มน้ำจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อขับพิษยา เช็ดตัวลดไข้ให้เขา และ ใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านที่รู้จัก ทาตามตัว และให้เขาดื่ม... เขาดีขึ้น เริ่มนั่งได้ เพื่อนๆเตียงข้างๆ อีก 5 เตียงเริ่มเห็นด้วยกับวิธีการของฉัน เป็นต้นทางให้ฉันเอายาสมุนไพรให้ลูกดื่ม และ เอายาทาตัวเขา... เนื่องจากสมุนไพร เป็นใบไม้มีสีเขียว .. ตัวของลูกเริ่มเป็นสีเขียว พยาบาลและ หมอเริ่มสงสัย....
วันหนึ่งเหมือนเป็นโชคร้ายที่สุด ขณะที่ฉันทายาใบไม้ให้ลูกอยู่นั้น พยาบาลเข้ามาเห็นพอดี ต่อว่าต่อขานฉันยกใหญ่ พร้อมเรียกนศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามา ฟ้องเอาความดีความชอบ ฉันตกใจมาก... ยาหลอดที่บีบทิ้งไว้เตรียมจะไปเทลงชักโครก วางเป็นหลักฐานว่าฉันไม่เคยให้ลูกกินยาที่หมอสั่งเลย พยาบาลพูดจาดูหมิ่น และเหมือนจะไล่ให้ฉันกลับไปรักษาเองที่บ้าน..
ฉันไม่พูดอะไรเพราะจำนนต่อหลักฐาน นึกว่าพวกเขาต่อว่าเสร็จแล้วจะไป... แต่โชคร้ายของลูกน้อย...
นศ.แพทย์กลุ่มนั้นกลับเข้ามา... พร้อม "ยา 7 หลอด"
แพทย์ และพยาบาลไล่ฉันออกไปจากห้อง รุมและล็อคน้องไว้กับเตียง ฉันเริ่มหมดความอดทน ฉันไม่มีวันยอมให้ลูกของฉันเป็นอะไรไปแน่! ฉันตะโกนเข้าไปในห้องว่า "ขอให้จำเอาไว้ ... หากลูกฉันเป็นอะไรไปในคืนนี้ ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด! ฉันจะไม่ยกโทษ และไม่ให้อภัยพวกเธอ ตลอดชีวิต!" เมื่อพูดจบ... ฉันไม่รอช้า ยกหูโทรศัพท์แจ้งไปที่ห้องฉุกเฉินทันที (พวกพยาบาลทั้งหมดเข้าไปรุมจับลูกฉันอยู่ด้านใน) ฉันขอเครื่องช่วยหายใจ และยาต่างๆ (ฉันรู้จักเครื่องมือแพทย์ และยาที่ใช้ช่วยชีวิตลูกทุกชนิด) Ward ฉุกเฉินเข้าใจว่าฉันเป็นหมอจริง เพราะพูดชื่อยาและอุปกรณ์ได้ถูกต้อง
ทันทีที่พวกหมอในห้องกรอกยาลูกฉันได้สำเร็จ ฉันตะโกนขอร้องให้พวกเขาอยู่ดูผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเสียก่อน ฉันยอมเสี่ยงเอาชีวิตลูกเป็นเดิมพัน มันคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว....
ไม่นานนัก ลูกของฉันเริ่มชัก ชักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ชีพจรเขาตกทันที สัญญาณเตือนจากเครื่องต่างๆ เริ่มดัง... ทำให้ทุกคนในห้องนั้นตกใจกลัว ฉันเริ่มร้องไห้ มันมากมายเกินกว่าที่ฉันคิดไว้!
หมอ และพยาบาล เริ่มหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ฉันยืนจ้องพวกเขาอย่างอาฆาต และสั่งไม่ให้ใครออกไปจากห้อง
พอดีจังหวะที่อุปกรณ์ช่วยชีวิตมาถึง พร้อมหมอใหญ่ท่านหนึ่ง "เกิดอะไรขึ้น?" หมอถามอย่างงงๆ
"ใครเป็นคนโทรตาม?"
ฉันตะโกนเข้าไปในห้อง "พวกเธอต้องรับผิดชอบชีวิตลูกของฉัน ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด!"
หมอทั้งหมด เริ่มกระบวนการช่วยชีวิตเขา... ลูกน้อยของฉันสะบักสะบอมไปด้วยยาพิษหลอดนั้น
เขารอดชีวิตมาอีกครั้งด้วยยาใบไม้ ที่ทางบ้านส่งมาให้ ใบไม้ถูกเด็ดมาจนโกร๋นหมดต้นเลย... ฉันร้องไห้ทุกวัน เช็ดตัวลดไข้ให้ลูกไม่ได้หลับได้นอน พยาบาลกลุ่มนั้นเริ่มสำนึก... ไม่ต่อว่าฉันอีกต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าลูกฉันเริ่มดีขึ้นจริง ต่างผลัดกันเข้ามาดูแลปรนนิบัติลูกฉันอย่างดีที่สุด เพราะกลัวฉันฟ้องร้อง
ส่วนนศ.แพทย์กลุ่มนั้น หลังจากฉันแจ้งเรื่องไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เจอหน้าพวกเขาอีก...
เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ เรื่องการแพ้ยาในเด็กเล็ก...
มีโอกาสน้อยมากที่เด็กจะรอดชีวิต หากได้รับยาที่เขาแพ้ในปริมาณที่มาก
ฉันเชื่อว่าในประเทศเรา คงมีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิต จากการแพ้ยา และผู้ปกครองที่ไม่ทันได้เอะใจ ว่าแพทย์ที่เราไว้วางใจให้รักษาลูกเราให้หายป่วยนั้น กลับเป็นฆาตกรฆ่าลูกเราเสียเอง!
จงอย่าดื้อกับหมอ เพียงเพราะความเชื่อโง่ๆ บางอย่างของตัวเอง
แต่ขอให้หาข้อมูล และขอคำปรึกษาจากแพทย์หลายๆ ท่าน เพื่อความเข้าใจในโรคต่างๆ อย่างถูกต้อง
และขอให้พ่อแม่ทุกท่าน จงเอาใจใส่ ถึงกระทั่งชื่อยาที่หมอสั่งให้ลูกเรากิน อย่าให้เขา เอายาพิษให้ลูกเรากินอีกเลย...
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ภาคทฤษฎี ที่หน้าห้อง ICU
Blog นี้ จัดทำขึ้นเพื่อสนองตอบความประสงค์ของบุตรชายอันเป็นที่รักของฉัน...
ฉันสัญญาเอาไว้ว่าจะนำเรื่องของเขาออกเผยแพร่สู่สาธารณชน เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่คนทั้งหลายที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเรา...
ในครั้งแรกฉันตั้งใจจะพิมพ์ หนังสือออกแจก และจำหน่ายตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะอินเตอร์เน็ตนั้นหาดูง่าย และ เป็นของฟรี ไม่ต้องเก็บเงินใคร... และมันจะเป็น "วิทยาทาน"อย่างแท้จริง!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันต้องประสบปัญหา โดยคนในครอบครัวได้ใช้บริการห้อง ICU อยู่เสมอ..
โดยเฉพาะลูกน้อย ต้องนอนอยู่ในห้องนั้นนับครั้งไม่ถ้วน ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนเป็นเรื่องปลงๆ ที่ฉันเห็นว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องธรรมดา...
คนในห้อง ICU มีทั้งเด็กแรกเกิด ยันผู้สูงอายุ ที่กำลัง "เฉียด" กับความตาย
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาใกล้เข้าเยี่ยมผู้ป่วย ฉันมักนั่งสังเกตุอาการของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ...
บางคนร้องไห้ฟูมฟาย, บางคนนั่งสวดมนต์, บางคนถึงกับเอาเต็นท์มากางนอนเฝ้าญาติกันทั้งวันทั้งคืน
มานั่ง, มานอนเฝ้ากันทำไมให้เกะกะเครื่องมือแพทย์ จะลากเข้า-ออก มันสุดแสนลำบาก ญาติของพวกคุณจะเสียชีวิตก็เพราะมัวแต่รอให้คุณลากถุงนอนหลบรถเข็นของพยาบาล จนเข้าห้องผ่าตัดไม่ทัน
ทุกวินาที หน้าห้อง ICU มีค่ามากนะ พวกคุณรู้หรือเปล่า?
ฉันเบื่อญาติๆ ที่ชอบดักคุยกับหมอหน้าห้องนั้น เขาจะรีบเข้าไปช่วยชีวิตคน...
หมอมักพูดกับฉันเสมอว่า "ถ้าญาติคนไข้เข้าใจง่ายๆ อย่างคุณทุกคนคงดีนะ"
ฉันมาจะเยี่ยมลูกที่ห้อง ICU ก่อนเวลาประมาณ 5 นาที เผื่อหมอมีอะไรสำคัญต้องคุยกับฉัน ไม่มีการอยู่เฝ้าหน้าห้องเป็นวันๆ ยกเว้นจะว่างจริงๆ ฉันก็จะคอยสอนสวดมนต์ให้ญาติผู้ป่วยท่านอื่นๆ
สิ่งที่ฉันคิดในช่วงเวลานั้นคือ..
- ฉันต้องไปทำงาน หาเงินมาจ่ายค่ายา ไม่ต้องไปรบกวนใคร (ฉันไปทำงานจริงๆ จนเพื่อนที่ทำงานถาม ว่าลูกหายแล้วเหรอ?)
- ฉันควรเอาเวลาไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ดีกว่านั้งฟูมฟาย เพราะเรื่องจริงคือ ถึงร้องไป ลูกก็ไม่ได้หายป่วย ฉันควรดูแลสุขภาพกาย และใจตัวเองให้ดี
- ฉันต้องนอนเอาแรง เผื่อว่าลูกได้ออกมาจากห้องนั้นวันไหน ฉันจะได้มีแรงดูแลเขาอย่างเต็มที่
- ฉันกลับไปนอนที่บ้านให้สบายกาย ไม่ควรมานั่งทรมานตัวเองอยู่หน้าห้องนั้น เพราะลูกอยู่ใกล้หมอที่สุดแล้ว ฉันจะสวดมนต์เผื่อเขา (หลายคนเถียง ว่าถ้านอนไกล เผื่อญาติเป็นอะไรก็ไม่ได้เห็นหน้ากันพอดี.. ฉันตอบว่าไม่จริง! หมอจะโทรตาม อย่าลืมเปิดมือถือแล้วกัน! ถ้าเป็นญาติที่รักกันจริง เขาจะรอจนกว่าคุณจะมานั่นแหล่ะ)
- ฉันไม่ร้องไห้ เพราะฉันคิดเสมอ ว่าเขาต้องกลับออกมาจากห้องนั้นในสภาพที่ดีขึ้น..
แต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยม ฉันจะใช้เวลานั่งอยู่หน้าห้องนั้นไม่นาน.. นั่งเฉยๆ ไม่ได้ร้องไห้ บางครั้งก็นั่งฟังเพลง
จนแทบทุกคนถามฉันว่า ญาติเป็นไรเหรอ? ฉันไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ ถามอย่างนี้ทุกคน!
ลูกของฉัน นอนเตียงแรก ใกล้หมอ-พยาบาลมากที่สุด นอนนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก ไม่ร้อง..เครื่องมือแพทย์แทบทุกชิ้นในห้องนั้น มารุมอยู่ที่เตียงของเขา
ทุกวินาทีหากเกิดความผิดพลาดคือ เขาต้องไป! โดยทุกคนที่เห็นเขาต้องคอนเฟิร์ม!
เมื่อญาติผู้ป่วยเห็นลูกของฉันแล้ว เขาเหล่านั้น ต้องหยุดร้องไห้.. เพราะลูกของฉันอาการหนักกว่าใครๆ
ขอให้จำเอาไว้ เด็กร้องไห้ เด็กดิ้น เด็กรู้สึกตัว... คือ ไม่หนัก... ไม่ตายแน่นอน...
หมอมักจะพูดกับฉันอย่างเบื่อๆ เสมอที่พบผู้ปกครองโวยวาย "ลูกฉันร้องจนหน้าดำหน้าแดงจะตายอยู่แล้ว หมอแม่งไม่สนใจ ไปดูอยู่ได้ ไอ้เตียงแรกเนี่ยะ ลูกทั่นหลานเทอจากไหนฟระ!"
มาวันนี้ฉันรู้แล้ว... เด็กไม่ร้อง... ไม่ดิ้น คือเด็กกำลังจะตาย...
ผู้ใหญ่นอนนิ่งๆ ไม่ร้อง... ไม่บ่น ไม่พร่ำ คือ ผู้ใหญ่กำลังจะตาย...
เป็นทฤษฎีใหม่ หน้าห้อง ICU
ฉันสัญญาเอาไว้ว่าจะนำเรื่องของเขาออกเผยแพร่สู่สาธารณชน เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่คนทั้งหลายที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเรา...
ในครั้งแรกฉันตั้งใจจะพิมพ์ หนังสือออกแจก และจำหน่ายตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะอินเตอร์เน็ตนั้นหาดูง่าย และ เป็นของฟรี ไม่ต้องเก็บเงินใคร... และมันจะเป็น "วิทยาทาน"อย่างแท้จริง!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันต้องประสบปัญหา โดยคนในครอบครัวได้ใช้บริการห้อง ICU อยู่เสมอ..
โดยเฉพาะลูกน้อย ต้องนอนอยู่ในห้องนั้นนับครั้งไม่ถ้วน ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนเป็นเรื่องปลงๆ ที่ฉันเห็นว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องธรรมดา...
คนในห้อง ICU มีทั้งเด็กแรกเกิด ยันผู้สูงอายุ ที่กำลัง "เฉียด" กับความตาย
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาใกล้เข้าเยี่ยมผู้ป่วย ฉันมักนั่งสังเกตุอาการของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ...
บางคนร้องไห้ฟูมฟาย, บางคนนั่งสวดมนต์, บางคนถึงกับเอาเต็นท์มากางนอนเฝ้าญาติกันทั้งวันทั้งคืน
มานั่ง, มานอนเฝ้ากันทำไมให้เกะกะเครื่องมือแพทย์ จะลากเข้า-ออก มันสุดแสนลำบาก ญาติของพวกคุณจะเสียชีวิตก็เพราะมัวแต่รอให้คุณลากถุงนอนหลบรถเข็นของพยาบาล จนเข้าห้องผ่าตัดไม่ทัน
ทุกวินาที หน้าห้อง ICU มีค่ามากนะ พวกคุณรู้หรือเปล่า?
ฉันเบื่อญาติๆ ที่ชอบดักคุยกับหมอหน้าห้องนั้น เขาจะรีบเข้าไปช่วยชีวิตคน...
หมอมักพูดกับฉันเสมอว่า "ถ้าญาติคนไข้เข้าใจง่ายๆ อย่างคุณทุกคนคงดีนะ"
ฉันมาจะเยี่ยมลูกที่ห้อง ICU ก่อนเวลาประมาณ 5 นาที เผื่อหมอมีอะไรสำคัญต้องคุยกับฉัน ไม่มีการอยู่เฝ้าหน้าห้องเป็นวันๆ ยกเว้นจะว่างจริงๆ ฉันก็จะคอยสอนสวดมนต์ให้ญาติผู้ป่วยท่านอื่นๆ
สิ่งที่ฉันคิดในช่วงเวลานั้นคือ..
- ฉันต้องไปทำงาน หาเงินมาจ่ายค่ายา ไม่ต้องไปรบกวนใคร (ฉันไปทำงานจริงๆ จนเพื่อนที่ทำงานถาม ว่าลูกหายแล้วเหรอ?)
- ฉันควรเอาเวลาไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ดีกว่านั้งฟูมฟาย เพราะเรื่องจริงคือ ถึงร้องไป ลูกก็ไม่ได้หายป่วย ฉันควรดูแลสุขภาพกาย และใจตัวเองให้ดี
- ฉันต้องนอนเอาแรง เผื่อว่าลูกได้ออกมาจากห้องนั้นวันไหน ฉันจะได้มีแรงดูแลเขาอย่างเต็มที่
- ฉันกลับไปนอนที่บ้านให้สบายกาย ไม่ควรมานั่งทรมานตัวเองอยู่หน้าห้องนั้น เพราะลูกอยู่ใกล้หมอที่สุดแล้ว ฉันจะสวดมนต์เผื่อเขา (หลายคนเถียง ว่าถ้านอนไกล เผื่อญาติเป็นอะไรก็ไม่ได้เห็นหน้ากันพอดี.. ฉันตอบว่าไม่จริง! หมอจะโทรตาม อย่าลืมเปิดมือถือแล้วกัน! ถ้าเป็นญาติที่รักกันจริง เขาจะรอจนกว่าคุณจะมานั่นแหล่ะ)
- ฉันไม่ร้องไห้ เพราะฉันคิดเสมอ ว่าเขาต้องกลับออกมาจากห้องนั้นในสภาพที่ดีขึ้น..
แต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยม ฉันจะใช้เวลานั่งอยู่หน้าห้องนั้นไม่นาน.. นั่งเฉยๆ ไม่ได้ร้องไห้ บางครั้งก็นั่งฟังเพลง
จนแทบทุกคนถามฉันว่า ญาติเป็นไรเหรอ? ฉันไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ ถามอย่างนี้ทุกคน!
ลูกของฉัน นอนเตียงแรก ใกล้หมอ-พยาบาลมากที่สุด นอนนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก ไม่ร้อง..เครื่องมือแพทย์แทบทุกชิ้นในห้องนั้น มารุมอยู่ที่เตียงของเขา
ทุกวินาทีหากเกิดความผิดพลาดคือ เขาต้องไป! โดยทุกคนที่เห็นเขาต้องคอนเฟิร์ม!
เมื่อญาติผู้ป่วยเห็นลูกของฉันแล้ว เขาเหล่านั้น ต้องหยุดร้องไห้.. เพราะลูกของฉันอาการหนักกว่าใครๆ
ขอให้จำเอาไว้ เด็กร้องไห้ เด็กดิ้น เด็กรู้สึกตัว... คือ ไม่หนัก... ไม่ตายแน่นอน...
หมอมักจะพูดกับฉันอย่างเบื่อๆ เสมอที่พบผู้ปกครองโวยวาย "ลูกฉันร้องจนหน้าดำหน้าแดงจะตายอยู่แล้ว หมอแม่งไม่สนใจ ไปดูอยู่ได้ ไอ้เตียงแรกเนี่ยะ ลูกทั่นหลานเทอจากไหนฟระ!"
มาวันนี้ฉันรู้แล้ว... เด็กไม่ร้อง... ไม่ดิ้น คือเด็กกำลังจะตาย...
ผู้ใหญ่นอนนิ่งๆ ไม่ร้อง... ไม่บ่น ไม่พร่ำ คือ ผู้ใหญ่กำลังจะตาย...
เป็นทฤษฎีใหม่ หน้าห้อง ICU
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ประสบการณ์ทำบุญทอดกฐิน
อานิสงส์ ของการทำบุญทอดกฐินนั้น มีมากมายเท่าไหร่ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่หากทำด้วยใจบริสุทธิ์ตั้งแต่ก่อน... ระหว่าง... และหลังการทำบุญแล้ว ก็ถือว่าเป็น บุญ ...
ในเช้าของวันเสาร์ที่ 20 พ.ย. 2553 เวลา 05.45 - 06.15 ขณะที่ฉันกำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์นั้น ได้ปรากฏนิมิตเป็นหญิงวัยประมาณ 50 ปีเศษ แต่ชุดสีดำ ผมสั้นดัดเป็นลอนๆ ดูลักษณะเหมือนคนมีฐานะดี แต่หน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีความสุข เห็นชัดเจนมาก เมื่อกำหนดเห็นหนอๆ ก็ยังไม่หายไป และไม่ทราบว่าท่านผู้นี้เป็นใคร จึงกำหนดแผ่เมตตาในใจว่า สัพพาอิถิโย อเวรา อัพยาปัชฌา... จนกระทั่งนิมิตเลือนหายไป สักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพซากมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถระบุเพศได้ เป็นร่างยาวๆ นอนเปลือยกายอยู่ พิจารณาแล้วไม่มีความสวยงามแต่อย่างใด เนื่องจากร่างกายไม่ได้จัดอยู่ในระเบียบ คือ แขนมากองรวมอยู่กับขา และ ศีรษะวางอยู่บนลำตัว พิจารณาดูแล้วก็กำหนดฟุ้งซ่านหนอๆ แต่ไม่หายไปจึงต้องกำหนดเห็นหนอ เพื่อตรวจสอบร่างนั้นต่อไป... พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พบว่าร่างกายมนุษย์นั้น หากไม่อยู่ในระเบียบแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ถึงแม้เรือนร่างนั้นจะเปลือยเปล่า อวัยวะทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่สวยงาม เป็นปริศนาธรรมที่ปรากฏให้เห็นว่า ตัวเรานั้น ยึดติดเอากับรูปแบบ (Form) ที่ถูกสมมติขึ้นมา... ว่ากันง่ายๆ ให้ทดลองตามหลักวิทยาศาสตร์เลย โดยให้ตัดรูปดาราจากหนังสือออกมา แล้วแบ่งอวัยวะต่างๆ ออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาแปะลงในกระดาษแผ่นใหม่ ในลักษณะที่อวัยวะต่างๆ ไม่เรียงกันตามลำดับ เช่น เอาตาไว้ที่หู เอาปากไว้ที่ตา เป็นต้น แล้วพิจารณาดูรูปนั้น ว่าถ้าหากคนในรูปที่เราแปะลงไปใหม่โดยมีอวัยวะที่สลับกันไม่เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้นั้น ถ้ามีชีวิตเดินได้จริงๆ จะน่ากลัวเพียงใด... และอะไร คือความสวยงามที่แท้จริง?
หลังจากนั่งสมาธิครบตามที่อธิษฐานไว้ ฉันจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาเผื่อร่างนั้นอีกครั้ง.. สัพเพภูตา อเวรา อัพยาปัขฌา อนีฆา สุขีอัตตนานัง ปริหะรันตุ...
ในเช้าของวันเสาร์ที่ 20 พ.ย. 2553 เวลา 05.45 - 06.15 ขณะที่ฉันกำลังนั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์นั้น ได้ปรากฏนิมิตเป็นหญิงวัยประมาณ 50 ปีเศษ แต่ชุดสีดำ ผมสั้นดัดเป็นลอนๆ ดูลักษณะเหมือนคนมีฐานะดี แต่หน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีความสุข เห็นชัดเจนมาก เมื่อกำหนดเห็นหนอๆ ก็ยังไม่หายไป และไม่ทราบว่าท่านผู้นี้เป็นใคร จึงกำหนดแผ่เมตตาในใจว่า สัพพาอิถิโย อเวรา อัพยาปัชฌา... จนกระทั่งนิมิตเลือนหายไป สักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพซากมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถระบุเพศได้ เป็นร่างยาวๆ นอนเปลือยกายอยู่ พิจารณาแล้วไม่มีความสวยงามแต่อย่างใด เนื่องจากร่างกายไม่ได้จัดอยู่ในระเบียบ คือ แขนมากองรวมอยู่กับขา และ ศีรษะวางอยู่บนลำตัว พิจารณาดูแล้วก็กำหนดฟุ้งซ่านหนอๆ แต่ไม่หายไปจึงต้องกำหนดเห็นหนอ เพื่อตรวจสอบร่างนั้นต่อไป... พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็พบว่าร่างกายมนุษย์นั้น หากไม่อยู่ในระเบียบแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ถึงแม้เรือนร่างนั้นจะเปลือยเปล่า อวัยวะทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่สวยงาม เป็นปริศนาธรรมที่ปรากฏให้เห็นว่า ตัวเรานั้น ยึดติดเอากับรูปแบบ (Form) ที่ถูกสมมติขึ้นมา... ว่ากันง่ายๆ ให้ทดลองตามหลักวิทยาศาสตร์เลย โดยให้ตัดรูปดาราจากหนังสือออกมา แล้วแบ่งอวัยวะต่างๆ ออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาแปะลงในกระดาษแผ่นใหม่ ในลักษณะที่อวัยวะต่างๆ ไม่เรียงกันตามลำดับ เช่น เอาตาไว้ที่หู เอาปากไว้ที่ตา เป็นต้น แล้วพิจารณาดูรูปนั้น ว่าถ้าหากคนในรูปที่เราแปะลงไปใหม่โดยมีอวัยวะที่สลับกันไม่เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนดไว้นั้น ถ้ามีชีวิตเดินได้จริงๆ จะน่ากลัวเพียงใด... และอะไร คือความสวยงามที่แท้จริง?
หลังจากนั่งสมาธิครบตามที่อธิษฐานไว้ ฉันจึงกำหนดจิตแผ่เมตตาเผื่อร่างนั้นอีกครั้ง.. สัพเพภูตา อเวรา อัพยาปัขฌา อนีฆา สุขีอัตตนานัง ปริหะรันตุ...
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ตายเป็นอย่างไร?
หลังจากที่ฉันได้สูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป ด้วยวัยเพียงสองขวบครึ่ง..
เด็กชายผู้น่ารัก ที่ฉันอุ้มไปซื้อขนมกินกันเมื่อ 3 วันก่อน มาวันนี้ เขากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
วันนี้ช่วงเช้าฉันต้องไปเก็บกระดูกลูกน้อย เพื่อนำไปลอยอังคาร ที่วัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
ณ เชิงตะกอน ฉันหยิบกระดูกหน้าแข้ง ที่ทางสัปเหร่อ นำมาวางเรียงไว้ในถาด ขึ้นมาดู พลางพิจารณา..
นี่หรือ? คือเด็กน้อยที่ฉันยังอุ้มเล่นอยู่เมื่อสามวันก่อน คนที่ฉันบรรจงอาบน้ำ หวีผม หาอาหารอร่อยๆ มาป้อนอยู่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา...
ช่วงสายๆ ฉันนำกระดูกของเขาไปลอยในแม่น้ำ พลางอธิษฐานขออโหสิกรรมให้แก่เขา...
ในตอนเย็น หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวต่างๆ เลร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเดินมานั่งมองดูรูปเขา พร้อมนึกย้อนลำดับเหตุการณ์ไป ตั้งแต่วินาทีที่ลอยอังคาร... เผาศพ.. สวดศพ... อาบน้ำศพ.... เข็นศพไปเก็บในลิ้นชักที่ห้องดับจิต จนกระทั่งถึงตอนที่อุ้มเขาไปวางไว้ในม้าหมุนเมื่อ สามวันที่ผ่านมา...
ตายเป็นอย่างไรหนอ?
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ...
คำว่าเสียใจคงมีไม่มาก เพราะได้ทำใจไว้ ตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลกแล้ว จากคำแนะนำของแพทย์ ที่แจ้งข่าว ว่าเขาจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน...
เพราะฉะนั้นการตายของลูกน้อย เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการที่เขาจะต้องถูกผ่าตัดซ้ำซากอยู่อีกนับครั้งไม่ถ้วน... ซึ่งในหัวใจคนเป็นแม่ การที่ลูกต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับโรคร้าย อยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่อย่างเราไม่สามารถช่วยเหลือได้เลย...
ฉันหวนคิดถึงเรื่องราวของเราสองคนแม่ลูกที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน...
ฉันนั่งนึกถึงช่วงเวลาแห่งการตาย นึกห่วงลูก.. ว่าตอนนั้นเขาจะเจ็บมากน้อยอย่างไร?
ขณะนั้นเอง... นาฬิกาตีบอกเวลา 18.00 น. ฉันจึงละสายตาจากรูปลูกน้อย หันไปมองนาฬิกาที่ผนังอีกด้าน แล้วลุกขึ้น!
ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หน้าตาเหมือนฉันนั่งมองรูปลูกอยู่ที่เดิม...
ตายล่ะหว่า! หลุดออกมาจากร่างตัวเองได้ไงเนี่ยะ!
ฉันหันซ้าย-ขวา เห็นตัวเองเป็นร่างโปร่งๆ ยืนหันหน้าเข้าหาร่างที่กำลังนั่งเหม่ออยู่
ขณะกำลังตกใจสุดขีด... พลันมีแรงเหมือนแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดตัวฉัน กลับเข้าที่เดิม..
ฉันยังนั่งอยู่... ดูรูปลูก... แต่เนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดโต...
ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง.... ^^!
เด็กชายผู้น่ารัก ที่ฉันอุ้มไปซื้อขนมกินกันเมื่อ 3 วันก่อน มาวันนี้ เขากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
วันนี้ช่วงเช้าฉันต้องไปเก็บกระดูกลูกน้อย เพื่อนำไปลอยอังคาร ที่วัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
ณ เชิงตะกอน ฉันหยิบกระดูกหน้าแข้ง ที่ทางสัปเหร่อ นำมาวางเรียงไว้ในถาด ขึ้นมาดู พลางพิจารณา..
นี่หรือ? คือเด็กน้อยที่ฉันยังอุ้มเล่นอยู่เมื่อสามวันก่อน คนที่ฉันบรรจงอาบน้ำ หวีผม หาอาหารอร่อยๆ มาป้อนอยู่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา...
ช่วงสายๆ ฉันนำกระดูกของเขาไปลอยในแม่น้ำ พลางอธิษฐานขออโหสิกรรมให้แก่เขา...
ในตอนเย็น หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวต่างๆ เลร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเดินมานั่งมองดูรูปเขา พร้อมนึกย้อนลำดับเหตุการณ์ไป ตั้งแต่วินาทีที่ลอยอังคาร... เผาศพ.. สวดศพ... อาบน้ำศพ.... เข็นศพไปเก็บในลิ้นชักที่ห้องดับจิต จนกระทั่งถึงตอนที่อุ้มเขาไปวางไว้ในม้าหมุนเมื่อ สามวันที่ผ่านมา...
ตายเป็นอย่างไรหนอ?
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ...
คำว่าเสียใจคงมีไม่มาก เพราะได้ทำใจไว้ ตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลกแล้ว จากคำแนะนำของแพทย์ ที่แจ้งข่าว ว่าเขาจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน...
เพราะฉะนั้นการตายของลูกน้อย เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการที่เขาจะต้องถูกผ่าตัดซ้ำซากอยู่อีกนับครั้งไม่ถ้วน... ซึ่งในหัวใจคนเป็นแม่ การที่ลูกต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับโรคร้าย อยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่อย่างเราไม่สามารถช่วยเหลือได้เลย...
ฉันหวนคิดถึงเรื่องราวของเราสองคนแม่ลูกที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน...
ฉันนั่งนึกถึงช่วงเวลาแห่งการตาย นึกห่วงลูก.. ว่าตอนนั้นเขาจะเจ็บมากน้อยอย่างไร?
ขณะนั้นเอง... นาฬิกาตีบอกเวลา 18.00 น. ฉันจึงละสายตาจากรูปลูกน้อย หันไปมองนาฬิกาที่ผนังอีกด้าน แล้วลุกขึ้น!
ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หน้าตาเหมือนฉันนั่งมองรูปลูกอยู่ที่เดิม...
ตายล่ะหว่า! หลุดออกมาจากร่างตัวเองได้ไงเนี่ยะ!
ฉันหันซ้าย-ขวา เห็นตัวเองเป็นร่างโปร่งๆ ยืนหันหน้าเข้าหาร่างที่กำลังนั่งเหม่ออยู่
ขณะกำลังตกใจสุดขีด... พลันมีแรงเหมือนแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดตัวฉัน กลับเข้าที่เดิม..
ฉันยังนั่งอยู่... ดูรูปลูก... แต่เนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดโต...
ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง.... ^^!
ที่มาของ Blog "กระโถนท้องพระโรง"
บางครั้งคนเราอาจเจอปัญหาหลายอย่างรุมเร้า อาจทำให้กลัดกลุ้มใจจนกระทั่งมองไม่เห็นทางออกว่าปัญหาเหล่านั้นจะแก้ไขได้อย่างไร
BLOG กระโถนท้องพระโรง จะเป็นที่ให้คุณได้ระบายความอึดอัดกลัดกลุ้มใจ ในเรื่องต่างๆ รวมทั้งตอบคำถาม และ ช่วยแก้ปัญหาในบางแง่มุมที่สามารถช่วยเหลือได้...
โดยผู้สร้าง Blog ขอสงวนสิทธิ์ ไม่รับผิดชอบต่อความคิดเห็นใดๆ ใน Blog นี้
รวมทั้งขออนุญาต ลบข้อความหยาบคายทุกประเภท ออกจาก Blog หากพิจารณาแล้วว่าไม่สุภาพ..
ขอบพระคุณอย่างสูง
Admin
BLOG กระโถนท้องพระโรง จะเป็นที่ให้คุณได้ระบายความอึดอัดกลัดกลุ้มใจ ในเรื่องต่างๆ รวมทั้งตอบคำถาม และ ช่วยแก้ปัญหาในบางแง่มุมที่สามารถช่วยเหลือได้...
โดยผู้สร้าง Blog ขอสงวนสิทธิ์ ไม่รับผิดชอบต่อความคิดเห็นใดๆ ใน Blog นี้
รวมทั้งขออนุญาต ลบข้อความหยาบคายทุกประเภท ออกจาก Blog หากพิจารณาแล้วว่าไม่สุภาพ..
ขอบพระคุณอย่างสูง
Admin
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)