หลังจากที่ฉันได้สูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป ด้วยวัยเพียงสองขวบครึ่ง..
เด็กชายผู้น่ารัก ที่ฉันอุ้มไปซื้อขนมกินกันเมื่อ 3 วันก่อน มาวันนี้ เขากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
วันนี้ช่วงเช้าฉันต้องไปเก็บกระดูกลูกน้อย เพื่อนำไปลอยอังคาร ที่วัดหลวงพ่อโสธร จ.ฉะเชิงเทรา
ณ เชิงตะกอน ฉันหยิบกระดูกหน้าแข้ง ที่ทางสัปเหร่อ นำมาวางเรียงไว้ในถาด ขึ้นมาดู พลางพิจารณา..
นี่หรือ? คือเด็กน้อยที่ฉันยังอุ้มเล่นอยู่เมื่อสามวันก่อน คนที่ฉันบรรจงอาบน้ำ หวีผม หาอาหารอร่อยๆ มาป้อนอยู่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา...
ช่วงสายๆ ฉันนำกระดูกของเขาไปลอยในแม่น้ำ พลางอธิษฐานขออโหสิกรรมให้แก่เขา...
ในตอนเย็น หลังจากปฏิบัติภารกิจส่วนตัวต่างๆ เลร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเดินมานั่งมองดูรูปเขา พร้อมนึกย้อนลำดับเหตุการณ์ไป ตั้งแต่วินาทีที่ลอยอังคาร... เผาศพ.. สวดศพ... อาบน้ำศพ.... เข็นศพไปเก็บในลิ้นชักที่ห้องดับจิต จนกระทั่งถึงตอนที่อุ้มเขาไปวางไว้ในม้าหมุนเมื่อ สามวันที่ผ่านมา...
ตายเป็นอย่างไรหนอ?
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ...
คำว่าเสียใจคงมีไม่มาก เพราะได้ทำใจไว้ ตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตาดูโลกแล้ว จากคำแนะนำของแพทย์ ที่แจ้งข่าว ว่าเขาจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน...
เพราะฉะนั้นการตายของลูกน้อย เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการที่เขาจะต้องถูกผ่าตัดซ้ำซากอยู่อีกนับครั้งไม่ถ้วน... ซึ่งในหัวใจคนเป็นแม่ การที่ลูกต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับโรคร้าย อยู่ตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่อย่างเราไม่สามารถช่วยเหลือได้เลย...
ฉันหวนคิดถึงเรื่องราวของเราสองคนแม่ลูกที่ต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายนี้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มันช่างรวดเร็วเหลือเกิน...
ฉันนั่งนึกถึงช่วงเวลาแห่งการตาย นึกห่วงลูก.. ว่าตอนนั้นเขาจะเจ็บมากน้อยอย่างไร?
ขณะนั้นเอง... นาฬิกาตีบอกเวลา 18.00 น. ฉันจึงละสายตาจากรูปลูกน้อย หันไปมองนาฬิกาที่ผนังอีกด้าน แล้วลุกขึ้น!
ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หน้าตาเหมือนฉันนั่งมองรูปลูกอยู่ที่เดิม...
ตายล่ะหว่า! หลุดออกมาจากร่างตัวเองได้ไงเนี่ยะ!
ฉันหันซ้าย-ขวา เห็นตัวเองเป็นร่างโปร่งๆ ยืนหันหน้าเข้าหาร่างที่กำลังนั่งเหม่ออยู่
ขณะกำลังตกใจสุดขีด... พลันมีแรงเหมือนแม่เหล็กขนาดยักษ์ดูดตัวฉัน กลับเข้าที่เดิม..
ฉันยังนั่งอยู่... ดูรูปลูก... แต่เนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเม็ดโต...
ตายเป็นอย่างนี้นี่เอง.... ^^!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น