Blog นี้ จัดทำขึ้นเพื่อสนองตอบความประสงค์ของบุตรชายอันเป็นที่รักของฉัน...
ฉันสัญญาเอาไว้ว่าจะนำเรื่องของเขาออกเผยแพร่สู่สาธารณชน เพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่คนทั้งหลายที่ประสบชะตากรรมเดียวกันกับเรา...
ในครั้งแรกฉันตั้งใจจะพิมพ์ หนังสือออกแจก และจำหน่ายตามโรงพยาบาลต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะอินเตอร์เน็ตนั้นหาดูง่าย และ เป็นของฟรี ไม่ต้องเก็บเงินใคร... และมันจะเป็น "วิทยาทาน"อย่างแท้จริง!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันต้องประสบปัญหา โดยคนในครอบครัวได้ใช้บริการห้อง ICU อยู่เสมอ..
โดยเฉพาะลูกน้อย ต้องนอนอยู่ในห้องนั้นนับครั้งไม่ถ้วน ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา จนเป็นเรื่องปลงๆ ที่ฉันเห็นว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องธรรมดา...
คนในห้อง ICU มีทั้งเด็กแรกเกิด ยันผู้สูงอายุ ที่กำลัง "เฉียด" กับความตาย
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาใกล้เข้าเยี่ยมผู้ป่วย ฉันมักนั่งสังเกตุอาการของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ...
บางคนร้องไห้ฟูมฟาย, บางคนนั่งสวดมนต์, บางคนถึงกับเอาเต็นท์มากางนอนเฝ้าญาติกันทั้งวันทั้งคืน
มานั่ง, มานอนเฝ้ากันทำไมให้เกะกะเครื่องมือแพทย์ จะลากเข้า-ออก มันสุดแสนลำบาก ญาติของพวกคุณจะเสียชีวิตก็เพราะมัวแต่รอให้คุณลากถุงนอนหลบรถเข็นของพยาบาล จนเข้าห้องผ่าตัดไม่ทัน
ทุกวินาที หน้าห้อง ICU มีค่ามากนะ พวกคุณรู้หรือเปล่า?
ฉันเบื่อญาติๆ ที่ชอบดักคุยกับหมอหน้าห้องนั้น เขาจะรีบเข้าไปช่วยชีวิตคน...
หมอมักพูดกับฉันเสมอว่า "ถ้าญาติคนไข้เข้าใจง่ายๆ อย่างคุณทุกคนคงดีนะ"
ฉันมาจะเยี่ยมลูกที่ห้อง ICU ก่อนเวลาประมาณ 5 นาที เผื่อหมอมีอะไรสำคัญต้องคุยกับฉัน ไม่มีการอยู่เฝ้าหน้าห้องเป็นวันๆ ยกเว้นจะว่างจริงๆ ฉันก็จะคอยสอนสวดมนต์ให้ญาติผู้ป่วยท่านอื่นๆ
สิ่งที่ฉันคิดในช่วงเวลานั้นคือ..
- ฉันต้องไปทำงาน หาเงินมาจ่ายค่ายา ไม่ต้องไปรบกวนใคร (ฉันไปทำงานจริงๆ จนเพื่อนที่ทำงานถาม ว่าลูกหายแล้วเหรอ?)
- ฉันควรเอาเวลาไปทำอะไรที่เป็นประโยชน์ดีกว่านั้งฟูมฟาย เพราะเรื่องจริงคือ ถึงร้องไป ลูกก็ไม่ได้หายป่วย ฉันควรดูแลสุขภาพกาย และใจตัวเองให้ดี
- ฉันต้องนอนเอาแรง เผื่อว่าลูกได้ออกมาจากห้องนั้นวันไหน ฉันจะได้มีแรงดูแลเขาอย่างเต็มที่
- ฉันกลับไปนอนที่บ้านให้สบายกาย ไม่ควรมานั่งทรมานตัวเองอยู่หน้าห้องนั้น เพราะลูกอยู่ใกล้หมอที่สุดแล้ว ฉันจะสวดมนต์เผื่อเขา (หลายคนเถียง ว่าถ้านอนไกล เผื่อญาติเป็นอะไรก็ไม่ได้เห็นหน้ากันพอดี.. ฉันตอบว่าไม่จริง! หมอจะโทรตาม อย่าลืมเปิดมือถือแล้วกัน! ถ้าเป็นญาติที่รักกันจริง เขาจะรอจนกว่าคุณจะมานั่นแหล่ะ)
- ฉันไม่ร้องไห้ เพราะฉันคิดเสมอ ว่าเขาต้องกลับออกมาจากห้องนั้นในสภาพที่ดีขึ้น..
แต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยม ฉันจะใช้เวลานั่งอยู่หน้าห้องนั้นไม่นาน.. นั่งเฉยๆ ไม่ได้ร้องไห้ บางครั้งก็นั่งฟังเพลง
จนแทบทุกคนถามฉันว่า ญาติเป็นไรเหรอ? ฉันไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ ถามอย่างนี้ทุกคน!
ลูกของฉัน นอนเตียงแรก ใกล้หมอ-พยาบาลมากที่สุด นอนนิ่งๆ ไม่กระดุกกระดิก ไม่ร้อง..เครื่องมือแพทย์แทบทุกชิ้นในห้องนั้น มารุมอยู่ที่เตียงของเขา
ทุกวินาทีหากเกิดความผิดพลาดคือ เขาต้องไป! โดยทุกคนที่เห็นเขาต้องคอนเฟิร์ม!
เมื่อญาติผู้ป่วยเห็นลูกของฉันแล้ว เขาเหล่านั้น ต้องหยุดร้องไห้.. เพราะลูกของฉันอาการหนักกว่าใครๆ
ขอให้จำเอาไว้ เด็กร้องไห้ เด็กดิ้น เด็กรู้สึกตัว... คือ ไม่หนัก... ไม่ตายแน่นอน...
หมอมักจะพูดกับฉันอย่างเบื่อๆ เสมอที่พบผู้ปกครองโวยวาย "ลูกฉันร้องจนหน้าดำหน้าแดงจะตายอยู่แล้ว หมอแม่งไม่สนใจ ไปดูอยู่ได้ ไอ้เตียงแรกเนี่ยะ ลูกทั่นหลานเทอจากไหนฟระ!"
มาวันนี้ฉันรู้แล้ว... เด็กไม่ร้อง... ไม่ดิ้น คือเด็กกำลังจะตาย...
ผู้ใหญ่นอนนิ่งๆ ไม่ร้อง... ไม่บ่น ไม่พร่ำ คือ ผู้ใหญ่กำลังจะตาย...
เป็นทฤษฎีใหม่ หน้าห้อง ICU
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น