วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ว่าด้วยเรื่องของการแพ้ยา

วันนี้สิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือ "ยา"
คนทั่วไป หากป่วย ไปหาหมอแล้ว ได้รับยากลับมาบ้าน มักจะทำตามคำสั่งหมอโดยเคร่งครัด ไม่ว่าหมอจะจัดยามาให้กี่ชนิดก็ตาม ก็จะรีบกินยกนั้นจนกว่าจะหายเป็นปรกติ ซึ่งส่วนใหญ่มักได้ผล
แต่ สิ่งที่คาดไม่ถึงมักเกิดขึ้นอยู่เสมอ... นั่นคืออาการแพ้ยา เมื่อตัวเราเองได้รับประทานยาชนิดใดชนิดหนึ่งเข้าไปแล้วรู้สึกไม่ดี กระสับกระส่าย เรามักจะหยุดยานั้น และแจ้งแพทย์เจ้าของไข้ให้ทราบโดยทันที
แต่ เด็กเล็กล่ะ! เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาแพ้ยาชนิดไหน? เขาไม่สามารถบอก หรือสื่อสารกับเราได้ว่าเขาเริ่มแพ้ยาตัวนั้นแล้วนะ!
สิ่งแรกที่จะบอกเลย คือเขาจะปฏิเสธอย่างถึงที่สุด แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กเล็ก ไม่ชอบกินยา แต่ขอให้เราสังเกตุว่า เด็กนั้นจะมีการปฏิเสธยาชนิดนั้นมากกว่าปรกติ โดยเฉพาะเด็กที่กินยาง่าย จะเห็นชัดเลย ว่าจะไม่ยอมกินยานั้น สัญชาตญาณมนุษย์ จะไม่ยอมให้ใครกรอกยาพิษเข้าปาก หรือฉีดยาพิษเข้าร่างกายง่ายๆ
มันอันตรายมากหากอาการแพ้ยานั้นรุนแรง! เด็กอาจเสียชีวิตได้

ลูกของฉัน เป็นกรณีศึกษากรณีหนึ่ง ที่จะเล่าให้ท่านอ่าน เผื่อเป็นอุทธาหรณ์สอนใจผู้เป็นพ่อแม่ ที่คิดว่าความคิดของแพทย์นั้นถูกต้องอยู่เสมอ... มันเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตุอาการเด็กได้ หากไม่ใช่ลูกของเรา..
วันหนึ่งที่ลูกของฉันมีอาการปอดอักเสบ.. เขาเพิ่งออกจาก ICU มาเพียง 2 วัน มีนักศึกษาแพทย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาตรวจอาการของน้อง โดยเขาอ้างว่าแพทย์ใหญ่ประจำตัวของน้องป่วยเป็นภูมิแพ้ ไม่สามารถมาตรวจน้องได้ 1 สัปดาห์.. ฉันไม่ได้ว่าอะไร ถามความคืบหน้าของการรักษาและ รายละเอียดชื่อยาต่างๆ ที่หมอจะจ่ายให้ ฉันมีสมุดโน้ตเล็กๆ 1 เล่ม เอาไว้จดชื่อยาต่างๆ ที่น้องใช้ เพื่อกันลืม และ เผื่อไว้หากทำยาหล่นหาย
นศ.แพทย์กลุ่มนั้น แจ้งชื่อยาฉีดตัวหนึ่ง เป็นกลุ่มยาฆ่าเชื้อ- Cefotaxime สำหรับอาการ Infective Endorcarditis (ฉันค้นคว้าเพิ่มเติมในเว็บยา)  โดยเข้ามาฉีดครั้งแรก น้องนอนให้ฉีดดี แต่หลังจากหมอกลับออกไป เขามีอาการตัวสั่นเทิ้ม เหมือนคนจะโดนผีเข้า แล้วก็เริ่มชัก... ฉันเรียกหมอให้เข้ามาดูอาการ นศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามาแจ้งว่าอาการเก่าของน้องน่าจะกำเริบ... ฉันใจคอไม่ดี น้องกลับเข้าห้อง ICU อีกครั้ง...
หลังจากออกมาจากห้อง ICU หนที่สอง นศ.แพทย์กลุ่มเดิม นำยาฉีดตัวนี้มาให้อีก.. น่าแปลก ที่เด็กเล็ก อายุเพียงสองขวบ สามารถรู้และเข้าใจได้ว่ายาชนิดนี้ทำให้เขาไม่สบาย... และแปลกตรงที่ เขานอนให้ฉีดยาอื่นๆ แต่พอหมอพูดชื่อยาตัวนี้ เขาสะบัดแขนหนีทันที ดิ้นสุดตัว ทั้งๆ ที่ยาตัวนี้เพิ่งฉีดให้หนที่สองเท่านั้น ฉันแปลกใจมากที่ลูกดิ้นหนีอย่างไม่คิดชีวิต... หมอ 3 คนช่วยกันล็อคตัวเขายึดกับเตียง และ ฉีดยาสำเร็จ ยาหกไปหน่อยนึงเนื่องจากเขาสะบัดข้อมือตอนหมอจะฉีด... แต่หมอไม่ว่าอะไร และไม่ได้มาฉีดเพิ่ม...
คืนนั้น.. น้องนอนตัวสั่น กัดฟันแน่น เหมือนจะเริ่มชัก น้ำตาไหล... ผิวหนังของเขาเริ่มมีผื่นแดงเป็นปื้นๆ ทั่วทั้งร่างกายไม่เว้นแม้แต่นิดเดียว ฉันตกใจมาก เพราะเขามีไข้สูง ประมาณ 38 องศา ฉันรีบเช็ดตัวให้ลูก และคิดได้ว่าต้องเป็นยาตัวนี้แน่นอน จึงขอร้องให้ส่งน้องไปแผนกโรคผิวหนังแต่เช้า... หมอดู และฉันเริ่มให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาฉีดนี้ หมอผิวหนังว่าเป็นไปได้ และสั่งงดฉีดยาตัวนี้...
หลังจากกลับจากหมอผิวหนัง นศ.แพทย์กลุ่มเดิมเข้ามา... แจ้งเปลี่ยนยาฉีดเป็นยากิน Cefdinir ซึ่งเป็นยาในตระกูลเดียวกัน... (ฉันค้นคว้าเรื่องยาต่างๆ อยู่เสมอจากเว็บยา) ลูกได้รับยาพิษนี้เหมือนเดิม จากฉีด เป็นกินแทน ในวันแรกฉันคัดค้านไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นหมอ ฉันเรียนจบการตลาดจะไปรู้ดีกว่าเขาได้อย่างไร? ฉันยอมให้ลูกกินยานั้น เผื่อว่าข้อสันนิษฐานโง่ๆ ของฉันอาจไม่เป็นจริง  อาการของเขาเริ่มทรุดลง... ฉันเริ่มเห็นปฏิกริยาของลูก เริ่มปฏิเสธยาชนิดกินนี้ เข้าดิ้น และคายยาออกมาทันทีที่พยาบาลเข้ามาล็อคตัวเขาเพื่อกินยาดังกล่าว ฉันเริ่มรู้แล้วว่ายานี้ทำให้ลูกป่วยหนักมากขึ้น...
จากวันนั้นฉันตัดสินใจเทยาหลายหลอดทิ้ง เนื่องจากมันไม่จำเป็นมากสำหรับเขา.... เขาเป็นไข้สูงมาก ลำตัวมีผื่นขึ้นแดงจัด จากการรับประทานยาดังกล่าว และเริ่มซึม ไม่กระดุกกระดิก เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับฉัน!
ฉันลองเอายาทั้งหมดที่หมอให้มา (แค่ 1 มื้อ) ยามีทั้งหมด 7 หลอดฉีดยา  หลากสี  เป็นยาน้ำ ฉันตัดสินใจบีบมันลงแก้วกาแฟ เพื่อดูปริมาณว่ามาก-น้อยเท่าใด
ไม่น่าเชื่อ! หลายคนอาจไม่เคยคิด ว่าเวลายาอยู่ในหลอดเล็กๆ ประมาณ 7-8 หลอดดูไม่น่าจะมากเท่าไหร่? แต่เด็กตัวเล็กๆ เพียงแค่ 2 ขวบนั้น จะกินยาขนาด 1 แก้วกาแฟโตๆ อย่างไรได้หมด!!!
ฉันเริ่มปลงกับนศ.แพทย์ กลุ่มนี้ ฉันพยายามอธิบายด้วยเหตุผล ให้หมอลดจำนวนยาลงหน่อย..
ไม่ว่าเด็กจะมีอาการอะไร หมอจะสั่งยามาให้หมด ทุกอาการโดยไม่เลือกว่าอาการไหนที่ควรรักษาก่อน และ รู้หรือไม่ว่ายาตัวไหน จะตีกันกับตัวไหนบ้าง?
ฉันคิดได้ดังนั้นจึงเทยาทั้งหมดทิ้ง เหลือไว้แต่ยาแก้ไข้เพียงอย่างเดียว...
ลูกน้อยอาการดีขึ้น... หายวันหายคืน ฉันให้เขาดื่มน้ำจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อขับพิษยา เช็ดตัวลดไข้ให้เขา และ ใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้านที่รู้จัก ทาตามตัว และให้เขาดื่ม... เขาดีขึ้น เริ่มนั่งได้ เพื่อนๆเตียงข้างๆ อีก 5 เตียงเริ่มเห็นด้วยกับวิธีการของฉัน เป็นต้นทางให้ฉันเอายาสมุนไพรให้ลูกดื่ม และ เอายาทาตัวเขา... เนื่องจากสมุนไพร เป็นใบไม้มีสีเขียว .. ตัวของลูกเริ่มเป็นสีเขียว พยาบาลและ หมอเริ่มสงสัย....
วันหนึ่งเหมือนเป็นโชคร้ายที่สุด ขณะที่ฉันทายาใบไม้ให้ลูกอยู่นั้น พยาบาลเข้ามาเห็นพอดี ต่อว่าต่อขานฉันยกใหญ่ พร้อมเรียกนศ.แพทย์กลุ่มนั้นเข้ามา ฟ้องเอาความดีความชอบ ฉันตกใจมาก... ยาหลอดที่บีบทิ้งไว้เตรียมจะไปเทลงชักโครก วางเป็นหลักฐานว่าฉันไม่เคยให้ลูกกินยาที่หมอสั่งเลย พยาบาลพูดจาดูหมิ่น และเหมือนจะไล่ให้ฉันกลับไปรักษาเองที่บ้าน..
ฉันไม่พูดอะไรเพราะจำนนต่อหลักฐาน นึกว่าพวกเขาต่อว่าเสร็จแล้วจะไป... แต่โชคร้ายของลูกน้อย...
นศ.แพทย์กลุ่มนั้นกลับเข้ามา... พร้อม "ยา 7 หลอด"
แพทย์ และพยาบาลไล่ฉันออกไปจากห้อง รุมและล็อคน้องไว้กับเตียง ฉันเริ่มหมดความอดทน ฉันไม่มีวันยอมให้ลูกของฉันเป็นอะไรไปแน่!  ฉันตะโกนเข้าไปในห้องว่า "ขอให้จำเอาไว้ ... หากลูกฉันเป็นอะไรไปในคืนนี้ ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด! ฉันจะไม่ยกโทษ และไม่ให้อภัยพวกเธอ ตลอดชีวิต!" เมื่อพูดจบ... ฉันไม่รอช้า ยกหูโทรศัพท์แจ้งไปที่ห้องฉุกเฉินทันที (พวกพยาบาลทั้งหมดเข้าไปรุมจับลูกฉันอยู่ด้านใน) ฉันขอเครื่องช่วยหายใจ และยาต่างๆ (ฉันรู้จักเครื่องมือแพทย์ และยาที่ใช้ช่วยชีวิตลูกทุกชนิด) Ward ฉุกเฉินเข้าใจว่าฉันเป็นหมอจริง เพราะพูดชื่อยาและอุปกรณ์ได้ถูกต้อง
ทันทีที่พวกหมอในห้องกรอกยาลูกฉันได้สำเร็จ ฉันตะโกนขอร้องให้พวกเขาอยู่ดูผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาเสียก่อน ฉันยอมเสี่ยงเอาชีวิตลูกเป็นเดิมพัน มันคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว....
ไม่นานนัก ลูกของฉันเริ่มชัก ชักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... ชีพจรเขาตกทันที สัญญาณเตือนจากเครื่องต่างๆ เริ่มดัง... ทำให้ทุกคนในห้องนั้นตกใจกลัว  ฉันเริ่มร้องไห้ มันมากมายเกินกว่าที่ฉันคิดไว้!
หมอ และพยาบาล เริ่มหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด ฉันยืนจ้องพวกเขาอย่างอาฆาต และสั่งไม่ให้ใครออกไปจากห้อง
พอดีจังหวะที่อุปกรณ์ช่วยชีวิตมาถึง พร้อมหมอใหญ่ท่านหนึ่ง "เกิดอะไรขึ้น?" หมอถามอย่างงงๆ
"ใครเป็นคนโทรตาม?"
ฉันตะโกนเข้าไปในห้อง "พวกเธอต้องรับผิดชอบชีวิตลูกของฉัน ฉันจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุด!"
หมอทั้งหมด เริ่มกระบวนการช่วยชีวิตเขา... ลูกน้อยของฉันสะบักสะบอมไปด้วยยาพิษหลอดนั้น
เขารอดชีวิตมาอีกครั้งด้วยยาใบไม้ ที่ทางบ้านส่งมาให้ ใบไม้ถูกเด็ดมาจนโกร๋นหมดต้นเลย... ฉันร้องไห้ทุกวัน เช็ดตัวลดไข้ให้ลูกไม่ได้หลับได้นอน พยาบาลกลุ่มนั้นเริ่มสำนึก... ไม่ต่อว่าฉันอีกต่อไป เพราะเห็นแล้วว่าลูกฉันเริ่มดีขึ้นจริง ต่างผลัดกันเข้ามาดูแลปรนนิบัติลูกฉันอย่างดีที่สุด เพราะกลัวฉันฟ้องร้อง

ส่วนนศ.แพทย์กลุ่มนั้น หลังจากฉันแจ้งเรื่องไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาล ก็ไม่ได้เจอหน้าพวกเขาอีก...

เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ เรื่องการแพ้ยาในเด็กเล็ก...
มีโอกาสน้อยมากที่เด็กจะรอดชีวิต หากได้รับยาที่เขาแพ้ในปริมาณที่มาก
ฉันเชื่อว่าในประเทศเรา คงมีเด็กเล็กจำนวนหนึ่งที่เสียชีวิต จากการแพ้ยา และผู้ปกครองที่ไม่ทันได้เอะใจ ว่าแพทย์ที่เราไว้วางใจให้รักษาลูกเราให้หายป่วยนั้น กลับเป็นฆาตกรฆ่าลูกเราเสียเอง!
จงอย่าดื้อกับหมอ เพียงเพราะความเชื่อโง่ๆ บางอย่างของตัวเอง
แต่ขอให้หาข้อมูล และขอคำปรึกษาจากแพทย์หลายๆ ท่าน เพื่อความเข้าใจในโรคต่างๆ อย่างถูกต้อง
และขอให้พ่อแม่ทุกท่าน จงเอาใจใส่ ถึงกระทั่งชื่อยาที่หมอสั่งให้ลูกเรากิน อย่าให้เขา เอายาพิษให้ลูกเรากินอีกเลย...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น